ทำความรู้จัก “Smiley” ไอคอนหน้ายิ้มสีเหลืองในตำนานที่โด่งดังทั่วโลก!
- Home
- Blog etacha
- ทำความรู้จัก “Smiley” ไอคอนหน้ายิ้มสีเหลืองในตำนานที่โด่งดังทั่วโลก!
เชื่อว่าทุกวันนี้คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักเจ้าสัญลักษณ์ใบหน้ายิ้มสีเหลืองที่ชื่อว่า “Smiley” ถ้านึกถึง “Icon” ที่คนทั่วโลกนิยมใช้กันมากที่สุด และอยู่ในชีวิตประจำวันของเราทุกคน หนึ่งในนั้นคงเป็น “Smiley” วงกลมสีเหลืองที่ถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์สื่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้ส่งสาร ไปยังผู้รับสารผ่านทางโซเชียลมีเดีย สื่อสังคมออนไลน์แพลตฟอร์มต่างๆ และโปรแกรมแชทที่ใช้กันแทบทุกแอปสนทนา รวมทั้งยังปรากฏให้เห็นตามชีวิตประจำวันอย่างพวกเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ของใช้ต่างๆ ว่าแต่เจ้าสัญลักษณ์นี้มีความเป็นมายังไงกันนะ??? เรามาทำความรู้จัก Smiley ไอคอนหน้ายิ้มสีเหลืองในตำนานที่โด่งดังไปทั่วโลกกัน !
จุดเริ่มต้น "Smiley"
จุดกำเนิดเรื่องราวเกิดขึ้นในปี 1963 ชายผู้คิดค้นสัญลักษณ์หน้ายิ้มสีเหลืองนี้มีนามว่า ฮาร์วีย์ รอส บอล (Harvey Ross Ball) เป็นนักออกแบบกราฟิก อาศัยอยู่ในเมืองวอร์เซสเตอร์ รัฐแมสซาชูเซ็ตต์ เมื่อบริษัทประกันนามว่า State Mutual Life Assurance Company ได้ว่าจ้างชายนักออกแบบท่านนี้ให้ช่วยออกแบบโลโก้ที่ช่วยปลุกขวัญและกำลังในการทำงานให้กับพนักงาน บอลล์ใช้เวลาคิดเพียงแค่ 10 นาที จึงได้ทำการบรรจงวาดรูปวงกลมวงใหญ่ ใส่ลูกตาเล็ก ๆ และรอยอมยิ้มกว้าง ๆ บนแผ่นกระดาษสีเหลือง โดยให้เหตุผลว่า
“สีเหลืองแทนวันฟ้าใส และรอยยิ้มอารมณ์ดี” (sunshiny and bright)
Take Time to Smile 🙂
จากนั้น บริษัทประกันภัยก็ได้นำต้นแบบไปผลิตเป็นเข็มกลัดแจกจ่ายแก่พนักงาน พอถูกใช้ได้ไม่นานสัญลักษณ์หน้ายิ้มนี้ก็ฮิตและเป็นที่หลงใหลออกไปเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็วในสหรัฐฯ
แต่ทั้งผู้ออกแบบ และ ผู้ว่าจ้าง ต่างไม่มีใครคิดจะจดลิขสิทธิ์เจ้าโลโก้หน้ายิ้มสีเหลืองนี้ แม้ว่ามันจะฮิตไปทั่วโลกแล้วก็ตาม ผ่านพ้นไปจนกระทั่งปี 1971 แฟรงคลิน ลูฟรานี (Franklin Loufrani) นักข่าวชาวฝรั่งเศสที่เป็นเสือปืนไว เขาเขียนคอลัมน์ข้อมูลและทำ Icon ขึ้นมาใช้ในคอลัมน์ดังกล่าว เพื่อให้คนอ่านมีความสุข มีทัศนคติเชิงบวก และเป็นการกระตุ้นให้คน “หาเวลามาแจกยิ้ม” กันบ้าง (Take Time to Smile)
The Smiley Company
แฟรงคลิน ลูฟรานี (Franklin Loufrani) นำสัญลักษณ์หน้ายิ้มสีเหลืองไปจดลิขสิทธิ์เป็นของเขาเองอย่างถูกต้องตามกฏหมาย แล้วลูฟรานีก็ตั้งชื่อให้สัญลักษณ์นี้ว่า “Smiley” พร้อมกับก่อตั้งบริษัท The Smiley Company เพื่อขายลิขสิทธิ์การใช้ โลโก้ดังกล่าวในทางการค้า แล้วนับแต่นั้นไม่ว่าใคร หรือบริษัทใดที่จะใช้ประโยชน์ทางการค้าจาก Smiley จะต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้กับบริษัท The Smiley Company และไอคอนหน้ายิ้มนี้ก็กลายเป็นธุรกิจของครอบครัว “ลูฟรานี” โดยมีปรัชญาการดำเนินธุรกิจ คือ มุ่งหวังในการส่งต่อความรู้สึกดีๆ และรอยยิ้มแห่งความเป็น เป็น Core Value ของบริษัท และแบรนด์ “Smiley”
Emoticons "Smiley"
ช่วงปี 1990 “มร. นิโคลาส์ ลูฟรานี” (Nicolas Loufrani) ลูกชายของแฟรงคลิน ทายาทรุ่นสองของครอบครัวลูฟรานี เข้ามาสืบทอดและพัฒนาธุรกิจ “Smiley” ต่อจากผู้เป็นพ่อ ได้สังเกตเห็นการเติบโตในการใช้ ASCII emoticons ในยุคอินเทอร์เน็ตเริ่มแพร่หลาย และใช้ในการสื่อสารประจำวัน ด้วยการใช้เครื่องหมายคั่นต่างๆ (punctuation marks) ทำ emoticons แทนความรู้สึก สำหรับส่งข้อความบนโทรศัพท์มือถือ แชทออนไลน์ และทางอีเมล์
มร. นิโคลาส์จึงได้มีการทดลองใช้ Icon หน้ายิ้ม “Smiley” ในการสื่อสารแทนความรู้สึก โดยการดัดแปลง Icon หน้ายิ้ม เป็นใบหน้าแสดงอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ แทนข้อความ ก่อนจะมีการสร้าง Emoticons ในยุคต่อๆ มา ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านของธุรกิจ Smiley จากยุค Analog สู่ Digital Era และยังกลายเป็นแบรนด์ที่มีความสำคัญในด้านการสื่อสาร และภาษายุคใหม่ เพราะได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบภาษาสื่อสารด้วยรูปภาพ จากการใช้ Emoticons แสดงความรู้สึกและสื่อสารในชีวิตประจำวันปัจจุบัน
Smiley Dictionary
มร. นิโคลาส์ ลูฟรานีได้จัดทำ “Smiley Dictionary” หรือ “พจนานุกรมภาษาภาพหน้ายิ้ม” คู่มืออธิบายความหมายของไอคอน “Smiley” กว่าหลายพันไอคอน ซึ่งต่อมาได้รับการยอมรับในวงกว้างให้เป็นต้นแบบของการพัฒนา “emojis” ไอคอนแทนความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลากหลายคำพูดในปัจจุบัน
การดำเนินธุรกิจของ Smiley
แบรนด์ Smiley ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ด้วยยอดขายผลิตภัณฑ์ที่ทะลุเป้า สินค้าของ แบรนด์นั่นเรียกว่าหลากหลายมาก ครอบคลุมทั้งแฟชั่น เครื่องเขียน ของเล่น อุปกรณ์กีฬา ของใช้ ฯลฯ
โดยโมเดลธุรกิจของ Smiley ดำเนินธุรกิจแบบ “Co-creation” กับพาร์ทเนอร์ธุรกิจในการให้ลิขสิทธิ์ (licensing) แบรนด์ต่างๆสร้างคอนเทนต์ร่วมกันทำให้เกิดผลงานสร้างสรรค์ที่หลากหลาย Smiley จึงโดดเด่นในแง่ที่เป็นตัวแทนของวัฒนธรรม และวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ “จุดแข็งของแบรนด์คือความเรียบง่าย และไอคอนเหล่านี้ถูกสร้างมาให้ สามารถแปลงไปเป็นอะไรต่อมิอะไรได้ง่าย จากดีเอ็นเอที่เป็นการส่งต่อความสุขและคิดบวก Smiley สร้างแพลตฟอร์มที่พิเศษ เพื่อให้ผู้คนในยุคปัจจุบันได้แสดงอารมณ์ความรู้สึกผ่านสินค้าที่สร้างสรรค์ และเปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ ซึ่งนี้ช่วยให้เราเชื่อมโยงกับลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ได้ด้วย”
ทำให้ทุกวันนี้ “Smiley” กลายเป็นแบรนด์ที่ทำ Collaboration กับธุรกิจสินค้า-บริการไลฟ์สไตล์หมวดหมู่ต่างๆ ในทุกเซ็กเมนต์ ตั้งแต่แบรนด์หรู เช่น Gucci – แบรนด์ระดับกลาง และแบรนด์แมสทั่วไป เช่น ZARA, Topshop, H&M จึงครอบคลุมทั้งอาหาร-เครื่องดื่ม, สินค้าแฟชั่น, ของตกแต่งบ้าน, สินค้าเทคโนโลยี, ศูนย์การค้า ฯลฯ
รายได้ของ Smiley
รายได้เกือบ 100% ของ “Smiley” มาจากการขาย license ให้กับพันธมิตรธุรกิจแบรนด์ต่างๆ โดยในปี 2017 “Smiley” ทั่วโลกมีรายได้จากการขาย license 420 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโต 59% จากปีที่แล้ว และยังได้เพิ่มลูกค้าที่จดทะเบียนใช้บริการลิขสิทธิ์ (licensee) อีกกว่า 310 ราย ซึ่งมีทั้ง licensee เซ็นสัญญา ระยะยาว และแบบร่วมกันพัฒนาเป็นคอลเลคชั่น
ด้วยโมเดลธุรกิจให้ licensing แก่แบรนด์หมวดหมู่ต่างๆ ทำให้แบรนด์ “Smiley” ยังคงร่วมสมัย และทำให้เกิด win-win ทั้ง Smiley ขยายฐานเข้าไปฐานแฟนแบรนด์นั้นๆ ขณะเดียวกันแบรนด์ได้ฐานแฟนคลับกลุ่มชื่นชอบ Smiley และด้วยความที่แบรนด์สะท้อนถึงความสุข ความสดใส รอยยิ้ม และการคิดในแง่บวก ทำให้ Celebrity ระดับโลกมากมายชื่นชอบและใช้สินค้าของแบรนด์ Smiley
จุดแข็งของ “Smiley
จุดแข็งที่ทำให้ “Smiley” ประสบความสำเร็จ กลายเป็น “Icon” ที่ไม่ว่าแบรนด์ไหน บริษัทใด อยาก Co-create ด้วย เป็นเพราะความเรียบง่าย และปรัชญา หรือ DNA ที่เป็นการส่งต่อความสุข และคิดบวก ทำให้มีความเป็นสากล (Universal) สามารถเข้าได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกภาษา และทุกชาติ แบรนด์ต่างๆ จึงสามารถนำไปปรับใช้กับแบรนด์ของตนเองได้
ประกอบกับเมื่อแบรนด์ต่างๆ Co-create ร่วมกัน ทาง “Smiley” จะออกแบบหน้าให้ตรงกับความต้องการของแบรนด์นั้นๆ และยังสอดคล้องกับปรัชญาของ Smiley นี่จึงทำให้มีหลากหลายเวอร์ชั่น เช่น Smiley ลายธงชาติของประเทศต่างๆ, รูปทรงอื่นที่นอกจากวงกลม และไม่จำกัด เฉพาะสีเหลือง
Smiley บุกตลาดประเทศไทย!
บริษัทแม่มีแผนบุกตลาดไทย เพราะเล็งเห็นโอกาสของธุรกิจสินค้ากลุ่ม license ในไทย ที่ปัจจุบันมีหลากหลายแบรนด์ระดับโลกเข้ามาแชร์สัดส่วนตลาด license คาแรคเตอร์ ทำให้มีความหลากหลาย และเติบโต โดยขณะนี้ “Smiley” ได้มีการพูดคุยกับแบรนด์ไทย 20 แบรนด์ และเมื่อบรรลุการเจรจา คาดว่าอีกไม่นานแบรนด์ไทยเหล่านี้จะเปิดตัวคอลเลคชันที่ Co-create กับ “Smiley”
ETACHA x Smiley
ปัจจุบัน Smiley ได้สร้างตำนานไอคอนหน้ายิ้มสีเหลือง มอบรอยยิ้มและความสดใสที่โด่งดังไปทั่วโลกมามากกว่า 50 ปี และเนื่องในโอกาสพิเศษของการครบรอบ 50 ปี Smiley® เพื่อส่งต่อพลังบวกและความสุขตามแนวคิด ‘TAKE THE TIME TO SMILE’ ให้กับคุณและคนที่คุณรัก ทางแบรนด์ ETACHA ก็ได้โอกาสพิเศษ Collaboration กับ Smiley สัญลักษณ์หน้ายิ้มที่เป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลก ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานผ่านกระเป๋าผ้าใบสุดเก๋ ที่มาพร้อมความสนุก ความสดใส และให้ลุคเท่ มีสไตล์ไม่ซ้ำใครแบบ Unisex ด้วยสัญลักษณ์แห่งรอยยิ้มสีเหลืองบนกระเป๋าผ้าใบ มาร่วมส่งต่อรอยยิ้ม และส่งมอบความสุขไปพร้อมๆกับ ETACHA ได้แล้ววันนี้ ที่ ETACHA Store สาขา Siam Discovery ชั้น 1 เท่านั้น! 😊
ข้อมูลอ้างอิงจาก : www.marketingoops.com, https://today.line.me/